ทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ของ Hans Kelsen

Pure Theory of Law: Hans Kelsen

Hans Kelsen (ฮันส์ เคลเซ่น) คือ นักนิติศาสตร์ผู้ที่มีเป้าหมายในการแยกวิชา “นิติศาสตร์” (science of law – jurisprudence) ออกจากศีลธรรม ความคิดเกี่ยวกับความยุติธรรม จริยศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา ชีววิทยา เทววิทยา การเมือง ฯลฯ โดยเคลเซ่นมองว่าเราควรจะต้องแยก “กฎหมายที่เป็นอยู่” กับ “กฎหมายที่ควรจะเป็น” ออกจากกัน เพราะมันมีความแตกต่างกันอย่างมาก

หากเราต้องการจะทำให้วิชานิติศาสตร์มีลักษณะเป็นศาสตร์อย่างแท้จริง จะต้องทำให้วิชานิติศาสตร์มุ่งอธิบายกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมือง (positive law) และอธิบายกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมืองตามแนวภววิสัย (objective)1 ดังนั้น วิชานิติศาสตร์ต้องมุ่งศึกษาเรื่องของโครงสร้างกฎหมาย ระบบเชื่อมโยง เหตุและผล โดยขจัดทิ้งสิ่งที่เป็นคุณค่าที่ไม่ชัดเจนแน่นอนออกไปให้หมด แนวคิดเช่นนี้ได้นำไปสู่การสร้างทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ขึ้นมา ซึ่งเคลเซ่นเอาความเป็นสากลของวิทยาศาสตร์มาอธิบายทฤษฎีกฎหมาย แทนความคิดเดิม ๆ ที่มักจะเอาระบบการเมืองมาใช้อธิบายกฎหมาย2

บทความนี้จะอธิบายย่อ ๆ ภาพรวมเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ ที่เกิดจากการที่ผู้เขียนจับพลัดจับพลูไปอ่านงานเขียนของเคลเซ่น (เริ่มต้นจากหนังสือของคุณสุรินทร์) แล้วเห็นว่าน่าสนใจมาก จึงได้มาสรุปบันทึกไว้ กันหลงลืม เพื่อจะได้ศึกษาเชิงลึกในวันข้างหน้ากันต่อไปครับ 

ความคิดเบื้องต้นของทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์

ทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ (Reine Rechtslehre; Pure Theory of Law) ที่เคลเซ่นพัฒนาขึ้นมา เป็นหนึ่งในทฤษฎีทางนิติศาสตร์ที่สำคัญและโด่งดังมากในศตวรรษที่ 20 โดยคำว่า “บริสุทธิ์” บ่งบอกถึงการปราศจากคุณค่าและอุดมการณ์ต่าง ๆ (อุดมการณ์ทางการเมือง ความยุติธรรม ความชอบธรรม) ซึ่งเป็นสิ่งปลอมปนในวิชานิติศาสตร์ เพราะคุณค่าและอุดมการณ์มีความไม่แน่นอนและเป็นอัตวิสัย (subjective)3 อันเนื่องมาจากมันมีความแตกต่างกันไปบนฐานความคิด ความเชื่อ มุมมองของคนแต่ละคน จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะฉะนั้น หากขจัดคุณค่าและอุดมการณ์ต่าง ๆ ออกไปแล้ว วิชานิติศาสตร์ก็จะชัดเจนคล้ายคลึงกับการศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์

เคลเซ่นโต้แย้งเรื่องการเอาความยุติธรรมมาปะปนกับกฎหมาย เขาเห็นว่า ความยุติธรรมเป็นเรื่องของแต่ละคน คน ๆ หนึ่งย่อมเลือกคุณค่าบางอย่างที่ตนชื่นชอบมากกว่าอีกคนหนึ่ง แล้วบอกว่าคุณค่านี้ (หรือความยุติธรรม) แบบนี้ดีกว่าอีกอัน เช่น เสรีภาพกับความสงบเรียบร้อย หรือเสรีภาพกับความมั่นคง สองสิ่งนี้มักจะขัดแย้งกันเพราะคนที่พูดว่าอันไหนดีกว่าสำคัญกว่าก็มักจะยึดถือความเชื่ออย่างหนึ่ง คนล้านคนก็มีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป ทำให้พวกคุณค่านี้ใช้วัดแน่นอนไม่ได้ ไม่เหมือนกับการวัดในเชิงวิทยาศาสตร์ว่าสสารหรือวัตถุใดหนักกว่ากัน ระหว่างน้ำกับน้ำมันอะไรหนักกว่า พวกนี้มีมาตรวัดชัดเจน มาตรวัดแบบภววิสัย ไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนวัด ไม่ใช่การที่คนวัดเชื่อว่าอะไรจะหนักกว่ากัน เมื่อเราตัดเรื่องความยุติธรรมออกไปแล้ว นิติศาสตร์จึงไม่ต้องไปยุ่งกับคำถามที่ว่า อะไรคือความยุติธรรม? เพราะจะเหลือแค่ปัญหาทางนิติศาสตร์ว่า อะไรคือกฎหมาย? กฎหมายมีกลไกการทำงานอย่างไร?

ทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์กับนิติศาสตร์

วิชานิติศาสตร์ในมุมมองของทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์จึงเป็นความรู้ที่เป็นภววิสัยเกี่ยวกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริง ๆ ที่ถูกกำหนดและสร้างโดยมนุษย์ นิติศาสตร์จึงศึกษาโครงสร้างทางรูปแบบของกฎหมาย โดยไม่ต้องไปสนใจเนื้อหาของกฎหมาย เพราะนั่นเป็นขอบเขตของศาสตร์อื่นหรือบรรทัดฐานอื่น ผลลัพธ์ของแนวคิดเช่นนี้ส่งผลให้ วิชานิติศาสตร์จะไม่ตั้งคำถามในเรื่องศีลธรรมกับกฎหมาย4 นิติศาสตร์รับรู้แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นกฎหมาย จะชอบธรรมหรือไม่ นั่นควรปล่อยให้เป็นเรื่องของศีลธรรมที่จะวินิจฉัย5 ส่วนจะยุติธรรมหรือไม่ก็เป็นเรื่องของความยุติธรรมและการให้คุณค่าของผู้ที่ตัดสินหรือกำหนดนโยบาย ความบริสุทธิ์ของทฤษฎีกฎหมายจึงแยกต่างหากจากความยุติธรรม เพราะความบริสุทธิ์เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ส่วนความยุติธรรมเป็นเรื่องทางการเมือง6

“เคลเซ่นสร้างทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ขึ้นบนรากฐานของแนวความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ จากการมองกฎหมายหรือวิเคราะห์กฎหมายเฉพาะตัวกฎหมายที่ปรากฏอยู่ล้วน ๆ โดยแยกกันเรื่องศีลธรรม การเมือง ความยุติธรรม หรือสังคมวิทยาออกไป เคลเซ่นเห็นว่า ทฤษฎีกฎหมายจะต้องบริสุทธิ์ในแง่ที่ว่ามันจะต้องสร้างแนวความคิดเกี่ยวกับกฎหมายขึ้นมาเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบอื่น ๆ”7

ตรงนี้ล่ะครับที่ทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์โดดเด่นขึ้นมาและโดนรุมยำรุนแรงเช่นกัน เมื่อทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์เสนอให้นิติศาสตร์หยุดอยู่แค่การศึกษากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงโดยไม่สนใจเรื่องอื่น ทฤษฎีนี้จึงยอมรับกลาย ๆ กับกฎหมายที่มีเนื้อหาไม่ยุติธรรม เนื้อหากฎหมายจะเป็นอย่างไรก็ได้ หากมีสภาพบังคับก็เพียงพอ แต่ทฤษฎีนี้ก็ตอบคำถามในใจเราเหมือนกันว่า แล้วเราจะจัดการกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมหรือไม่ยุติธรรมอย่างไร เนื่องจากทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์มองว่า สิ่งอื่น ๆ อย่างเช่น ศีลธรรมอาจสร้างหรือทำลายความชอบธรรมแก่กฎหมายและระบบกฎหมายได้8 เรื่องพวกนั้นต้องยกให้ศีลธรรมและความยุติธรรมไป ในขณะที่นิติศาสตร์ตามทฤษฎีของเคลเซ่นจะไม่เข้าไปยุ่ง เพราะตามทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์จะหยุดอยู่ที่การค้นหาความจริงและความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริง ๆ เท่านั้นพอ แน่นอนว่าพอให้ความเห็นแบบนี้ ทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์จึงถูกจัดกลุ่มไปยืนคู่กับทฤษฎีหรือสำนักกฎหมายบ้านเมือง และขัดแย้งกับความคิดตามทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ9

เมื่อนิติศาสตร์เป็นศาสตร์แล้ว นิติศาสตร์หรือกฎหมายจะกลายเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยบรรทัดฐาน หรือว่าด้วยปทัสถาน (normative science)10 นิติศาสตร์จะต้องศึกษา “บรรทัดฐานทางกฎหมาย” หรือปทัสถานทางกฎหมาย (legal norms) โดยที่บรรทัดฐานทางกฎหมายทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นระบบกฎหมายจะกลายเป็นวัตถุในการศึกษาของนิติศาสตร์ และวิธีการในการศึกษา (method) จะต้องอาศัยตรรกวิทยา11 หากนิติศาสตร์เป็นไปตามกรอบคิดนี้ นิติศาสตร์ก็จะสร้างความรู้ทางนิติศาสตร์ขึ้นมามากมาย เช่น ความรู้เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ ความรับผิด ประธานแห่งสิทธิ วัตถุแห่งสิทธิ บุคคลสิทธิ ทรัพยสิทธิ ฯลฯ

ทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์กับบรรทัดฐาน

เคลเซ่นเห็นว่า บรรทัดฐาน (norms) เป็นสิ่งที่ควรจะเป็นหรือควรจะเกิดอันหมายถึงสิ่งที่มนุษย์ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างแน่นอน12 หากพิจารณาเฉพาะกฎหมายก็จะพบว่า กฎหมายเป็นบรรทัดฐานความประพฤติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกฎเกณฑ์ที่มุ่งใช้บังคับความประพฤติของมนุษย์ (มนุษย์สร้างบรรทัดฐานมากำหนดความประพฤติของมนุษย์ด้วยกัน) กฎหมายจึงเป็นเทคนิคพิเศษในการจัดระเบียบสังคมโดยมีกำลังกายภาพในการบังคับ นั่นคือ กฎหมายเป็นระเบียบความประพฤติของมนุษย์ที่มีลักษณะบังคับ

เคลเซ่นเสนอแนวคิดแยกบรรรทัดฐานออกได้อีก 2 ประเภท คือ

(1) บรรทัดฐานปฏิฐาน (positive norms) ซึ่งก็คือกฎหมาย ซึ่งบรรทัดฐานทางกฎหมาย (legal norms) ก็จะมีทั้ง บรรทัดฐานทางกฎหมายทั่วไป และบรรทัดฐานทางกฎหมายเฉพาะ โดยบรรทัดฐานทางกฎหมายนี้เป็นบรรทัดฐานที่มนุษย์สร้างขึ้น ตามกฎแห่งบรรทัดฐาน (law of imputation)13 

(2) บรรทัดฐานที่ไม่เป็นปฏิฐาน (non-positive norms) อันเป็นบรรทัดฐานที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น แต่มีอยู่แล้วในจิตใจของมนุษย์และมนุษย์รู้สึกได้เอง เช่น ความดีงาม ความยุติธรรม ความสุข อันเป็นเรื่องศีลธรรม การเมือง ศาสนา ฯลฯ โดยจะเรียกรวมกันว่า บรรทัดฐานทางการเมือง (political norms)14

นอกจากนี้ ตามทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ บรรทัดฐานหรือปทัสถาน แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ บรรทัดฐานทั่วไป (ปทัสถานทั่วไป) และบรรทัดฐานเฉพาะ (ปทัสถานเฉพาะ)

อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรทัดฐานทั่วไปและบรรทัดฐานเฉพาะ (โดยยกเรื่องบรรทัดฐานทางกฎหมายมาประกอบ) บรรทัดฐานทั่วไปจะถูกสร้างขึ้นล่วงหน้าโดยสถาบันที่มีอำนาจในการสร้างกฎหมายเพื่อก่อผลบังคับเป็นการทั่วไปสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต15 เช่น ประมวลกฎหมายอาญาที่มีมาตราจำนวนมากกำหนดความรับผิดในทางอาญาเอาไว้ และใครฝ่าฝืนหรือกระทำผิดทางอาญาก็ควรจะต้องได้รับโทษ ส่วนอีกบรรทัดฐานหนึ่ง คือ บรรทัดฐานเฉพาะ เป็นบรรทัดฐานที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์เฉพาะกรณีใดกรณีหนึ่ง เช่น ผู้พิพากษาที่ทำคำพิพากษาในแต่ละคดี ย่อมถือได้ว่าผู้พิพากษาคนนั้นได้สร้างบรรทัดฐานเฉพาะคดีขึ้นมาแล้ว ทั้งนี้บรรทัดฐานทั้งสองแบบจะถูกสร้างขึ้นมาจำนวนมากและมีพัฒนาการหรือมีพลวัตไปตามเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม16 จะไม่มีการหยุดนิ่ง อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรืออาจมีการยกเลิกโดยบรรทัดฐานใหม่ ๆ ก็ได้

นอกจากนี้ เมื่อกฎหมายเป็นบรรทัดฐานความประพฤติของมนุษย์ อันเกิดจากอำนาจบังคับหรือระบบระเบียบที่มีการบังคับ จึงเป็นการแตกต่างจากศีลธรรม เพราะกฎหมายมีพลังในการบังคับหรือมีสภาพบังคับ ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ และจะถูกบังคับให้ปฏิบัติในท้ายที่สุด (ต่างจากศีลธรรมที่ไม่มีสภาพบังคับ) และทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์มองว่า กฎหมายใช้บังคับได้เสมอถ้ากฎหมายนั้นตั้งอยู่บนบรรทัดฐานที่สูงกว่า และกฎหมายนั้นได้ผ่านกระบวนการที่กำหนดไว้ออกมาแล้ว เช่น ผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติหรือผ่านการสร้างโดยผู้พิพากษา (ในระบบกฎหมายแบบคอมมอนลอว์)

เคลเซ่นแยกบรรทัดฐานทางกฎหมายออกจากบรรทัดฐานอื่น ๆ บรรทัดฐานทางกฎหมายต้องมีสภาพบังคับ และเมื่อบรรทัดฐานกฎหมายรวมกันเป็นระบบกฎหมาย บรรทัดฐานทางกฎหมายแต่ละบรรทัดฐานจะต้องตั้งอยู่หรือเกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานทางกฎหมายอื่น สอดผสานสัมพันธ์กันเป็นห่วงโซ่ในรูปของพีระมิด เป็นห่วงโซ่แห่งความสมบูรณ์ (Chain of Validity)17 กล่าวคือ บรรทัดฐานกฎหมายหนึ่งตั้งอยู่บนบรรทัดฐานกฎหมายอีกอัน หรือในอีกแง่หนึ่ง อาจมองว่า ต้องมีบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สูงกว่าหรือมีอำนาจมากกว่าเป็นฐานรองรับบรรทัดฐานที่ต่ำกว่า หรือบรรทัดฐานที่ต่ำกว่าต้องอาศัยอำนาจจากบรรทัดฐานที่สูงกว่า และบรรทัดฐานที่สูงกว่าจะให้พลังบังคับหรือสภาพบังคับกับบรรทัดฐานที่ถูกสร้างขึ้นนั้นด้วย

ในบรรดาบรรทัดฐานทางกฎหมายทั้งหมด บรรทัดฐานที่ต่ำสุดคือ บรรทัดฐานเฉพาะกรณี ส่วนบรรทัดฐานที่เป็นรากฐานของบรรทัดฐานกฎหมายทั้งหมด หรือพอเรามองไปถึงบรรทัดฐานสุดท้ายที่มีอำนาจหรือพลังสูงที่สุด บรรทัดฐานนั้นเรียกว่า บรรทัดฐานขั้นมูลฐาน (Grundnorm or Basic norms) ซึ่งเป็นสิ่งสมมติที่ไม่ต้องพิสูจน์ (อ้าว) เพราะมันเป็นสมมติฐานของระบบบรรทัดฐานทางกฎหมาย เป็นภาพสมมติในทางทฤษฎี เสมือนว่าเราค้นไปหาบรรทัดฐานสุดท้าย ไอ้เจ้าสิ่งนี้จะเรียกว่า บรรทัดฐานขั้นมูลฐาน ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับบรรทัดฐานตั้งอยู่บนบรรทัดฐาน คล้ายคลึงกับเรื่องของลำดับศักดิ์แห่งกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติซึ่งเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายอันหนึ่งย่อมต้องตั้งอยู่บนรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สูงกว่า แล้วรัฐธรรมนูญมาจากไหนก็จะย้อนไปได้เรื่อย ๆ จนไปถึงบรรทัดฐานขั้นมูลฐานนั่นเองครับ

เพราะฉะนั้นภาพของปีระมิดบรรทัดฐาน จะมีบรรทัดฐานขั้นมูลฐานเป็นยอดพีระมิดบนสุด ฐานในชั้นล่าง ๆ คือ บรรทัดฐานที่ถูกสร้างและอาศัยกำลังของบรรทัดฐานขั้นมูลฐานอีกที ต่อเนื่องลงไปเรื่อย ๆ (Basic norms > norm 1 > norm 2 > norm…) นั่นเองครับ เพราะฉะนั้น ตามทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ กฎหมายเป็นเสมือนระบบแห่งบรรทัดฐานที่ความสมบูรณ์ของกฎหมายมาจากบรรทัดฐานขั้นมูลฐาน และการพิสูจน์ว่าบรรทัดฐานใดเป็นกฎหมาย ก็จะต้องพิจารณาว่า บรรทัดฐานนั้นตราหรือบัญญัติขึ้นมาโดยมีบรรทัดฐานอื่นที่เหนือกว่าให้อำนาจหรือไม่18

โดยสรุป

ทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ของเคลเซ่น คือ ทฤษฎีที่พยายามแยกการศึกษากฎหมายออกจากสิ่งปะปนอื่น ๆ เช่น ศีลธรรม การเมือง ความยุติธรรม และจากศาสตร์สาขาอื่น เช่น จิตวิทยา สังคมวิทยา เพื่อให้เกิดการศึกษากฎหมายในลักษณะที่มันบริสุทธิ์ เสมือนดั่งการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ ทำให้นิติศาสตร์เป็นวิชาที่มุ่งศึกษาความรู้ที่เป็นภววิสัยเกี่ยวกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริง กฎหมายที่ถูกกำหนดและสร้างโดยมนุษย์ ศึกษาโครงสร้างทางรูปแบบของกฎหมาย โดยไม่ต้องไปสนใจเนื้อหาของกฎหมายในเชิงการเมือง ศีลธรรม ศาสนา ยุติธรรม ฯลฯ หรือก็คือ นิติศาสตร์จะมุ่งศึกษากฎหมายอันเป็นบรรทัดฐานความประพฤติของมนุษย์ที่มีสภาพบังคับ บนแนวคิดที่ว่า บรรทัดฐานทางกฎหมายที่เกิดขึ้นรวมกันเป็นระบบกฎหมายโดยตั้งอยู่บนบรรทัดฐานขั้นมูลฐานที่เป็นพลังฐานรากในการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายอื่น ๆ ขึ้นมา

ปล. ฮันส์ เคลเซ่น เคยเป็นศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเวียนนา (ออสเตรีย) คณบดีคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยโคโลญ (เยอรมนี) และยังเคยดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของออสเตรียด้วย โดยเขาเป็นผู้ที่เสนอว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ที่เหมาะสมในการรับภารกิจเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ


บทความนี้เป็นเพียงการเกริ่นนำ สรุปสิ่งที่ผมอ่านทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ของเคลเซ่น สำหรับผู้ที่สนใจอ่านเรื่องทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์และความคิดของฮันส์ เคลเซ่น ในไทยมีงานเขียนที่มีคุณภาพในเรื่องนี้จำนวนมาก ยกตัวอย่าง เช่น

1. หนังสือ “ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา” ของอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ หน้า 457-485 (เล่มนี้ยังมีความคิดนิติปรัชญาสำคัญอื่นอีกมากมายไล่ตั้งแต่สมัยกรีกมาจนปัจจุบัน)
2. หนังสือ “นิติปรัชญา” ของอาจารย์จรัญ โฆษณานันท์ หน้า 59-72 (หนังสือของอาจารย์จรัญอธิบายความคิดนิติปรัชญาหลากหลายเหมือนเล่มบนของอาจารย์วรเจตน์)
3. หนังสือ “”ทฤษฎีบริสุทธิ์แห่งกฎหมาย” ของคุณสุรินทร์ สฤษฎ์พงศ์ (เล่มบางกะทัดรัด แต่สรุปรวบยอดความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์ เหมาะสำหรับอ่านเป็นฐานในการทำความเข้าใจเชิงลึก)

แต่อันที่จริงแล้วถ้าจะให้เข้าใจโดยตรง เราต้องไปอ่านงานเขียนโดยตรงของเคลเซ่น คือ หนังสือ Reine Rechtslehre (พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1960) ของเคลเซ่น ซึ่งเขียนเป็นภาษาเยอรมัน ทั้งนี้มีแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ Pure Theory of Law ครับ อย่างไรก็ดี สำหรับผู้เริ่มต้นสนใจ หนังสือของอาจารย์วรเจตน์ อาจารย์จรัญ และคุณสุรินทร์ จะช่วยวางพื้นฐานในการทำความเข้าใจภาพรวมและทฤษฎีสำหรับศึกษาเชิงลึกต่อไปได้อย่างดีครับ

 

  1. วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อ่านกฎหมาย, 2561), หน้า 464.
  2. สุรินทร์ สฤษฎ์พงศ์, ฮันส์ เคลเซ่น และทฤษฎีบริสุทธิ์แห่งกฎหมาย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2562), หน้า 11.
  3. วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา, หน้า 464.
  4. Ibid., p. 472.
  5. Ibid.
  6. สุรินทร์ สฤษฎ์พงศ์, ฮันส์ เคลเซ่น และทฤษฎีบริสุทธิ์แห่งกฎหมาย, หน้า 21.
  7. จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา, พิมพ์ครั้งที่ 19 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558), หน้า 63.
  8. วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา, หน้า 472.
  9. Ibid., p. 473.
  10. สุรินทร์ สฤษฎ์พงศ์, ฮันส์ เคลเซ่น และทฤษฎีบริสุทธิ์แห่งกฎหมาย, หน้า 29.
  11. วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา, หน้า 469.
  12. จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา, หน้า 62.
  13. สุรินทร์ สฤษฎ์พงศ์, ฮันส์ เคลเซ่น และทฤษฎีบริสุทธิ์แห่งกฎหมาย, หน้า 60.
  14. จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา, p. 64.
  15. สุรินทร์ สฤษฎ์พงศ์, ฮันส์ เคลเซ่น และทฤษฎีบริสุทธิ์แห่งกฎหมาย, หน้า 30.
  16. Ibid., p. 32.
  17. จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา, หน้า 65; วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา, หน้า 476.
  18. จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา, หน้า 65.

Comments